วัดดอยแม่ปั๋ง อยู่ในระหว่างทางไปอำเภอพร้าว เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ศรัทธาอย่างมาก วัดดอยแม่ปั๋ง ชื่ออาจไม่ค่อยคุ้นหูคนต่างจังหวัด แต่ถ้าหากเอ่ยถึง หลวงปู่แหวน สุจิณโณ แล้วล่ะก็ หลายคนคงจะนึกออกไม่น้อยครับ เพราะจะได้ยินชื่อว่าเป็นพระเกจิดัง และจะเห็นได้ว่าตึกรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ก็จะมีชื่อตึกสุจิณโณด้วย เพราะวัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ หลวงปู่แหวนเคยจำพรรษา เมื่อพ.ศ. 2505 จนถึงมรณภาพในพ.ศ. 2528 หลวงปู่แหวนเป็นพระเกจิชื่อดังที่ชาวพุทธให้ความเคารพนับถือ
ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่นมาก จะเห็นมอสสีเขียวๆ ตามพื้นทางเดิน และมีต้นไม้ใหญ่ กินพื้นที่ทั้งหมดกว่า 500 ไร่ ซึ่งครอบคลุมเนื้อที่บนดอยแม่ปั๋งทั้งหมด และมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ เครื่องใช้ต่างๆ ของหลวงปู่แหวนก็มีจัดแสดงไว้ให้ดู มีสระบ่อปลาขนาดใหญ่ สามารถให้อาหารปลาได้ด้วย ,วิหารไม้ , กุฏิหลวงปู่แหวน กุฏิไม้ที่เรียกว่า “โรงย่างกิเลส” หรือ “โรงไฟ” ซึ่งกุฏิหลังนี้หลวงปูแหวนได้เคยอยู่ตอนที่ท่านเป็นโรคคันทั่วร่างกาย จึงใช้กุฏินี้ก่อไฟย่างตัวเองจนหาย, ที่บรรจุอัฐิของหลวงปู่แหลวน และวิหารที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่แหวนเท่าองค์จริง ในสมัยที่หลวงปู่แหวนยังมีชีวิตอยู่มักมีคนมากันมาก ปัจจุบันก็ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่วัดดอยแม่ปั๋งอยู่แต่อาจไม่มากเท่าสมัยที่หลวงปู่แหวนยังไม่มรณภาพ
[instanow hashtag= วัดดอยแม่ปั๋ง window= 1 logo= 1 nofollow= 1 style= default media= 16 link= file layout= grid columns= 4 lm_num= 6 ]
ประวัติหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เกิดในตระกูลของช่างตีเหล็ก เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2430 จังหวัดเลย โดยเป็นบุตรของนายใสกับนางแก้ว รามสิริ โดยมีน้องสาวร่วมบิดา-มารดาอีกหนึ่งคนคือ นางเบ็ง ราชอักษร บิดามารดาของท่านได้ ตั้งชื่อว่า ญาณ ซึ่งแปลว่า ปรีชา กำหนดรู้ เมื่อท่านมีอายุ ได้ประมาณ 5 ขวบเศษ โยมมารดาของท่านก็ล้มป่วย แม้จะได้รับการดูแลเยียวยารักษาเป็นอย่างดีจากสามี แต่อาการของท่านก็มีแต่ทรงกับทรุด ในที่สุดเมื่อท่านรู้ตัวว่าคงจะไม่รอดชีวิตไปได้แน่แล้วท่านจึงได้เรียกหลวงปู่แหวน เข้าไปใกล้ แล้วกล่าวความฝากฝังเอาไว้
ลูกเอ่ย…แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ล้วน กี่โกฎก็ตามแม่ไม่ยินดี แม่จะยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมา มีลูกมีเมียนะ…ขอให้หลวงปู่แหวนบวชตลอดชีวิต หลวงปู่แหวนพยักหน้ารับปาก
ดึกสงัดของค่ำคืนวันหนึ่ง ยายของหลวงปู่แหวนฝันประหลาด อันเป็นมงคลนิมิตหมายที่ดีงาม เห็นหลวงปู่แหวนไปนอนอยู่ในดงขมิ้น จนกระทั่งตัวเหลืองอร่าม ดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก คงจะมีอุปนิสัยวาสนาในทางบวช ฉะนั้นยายจึงขอให้เจ้าบวชตลอดชีวิต และขอให้ตายกับผ้าเหลือง เมื่อท่านมีอายุได้ 9 ขวบ ยายจึงได้ให้บวชเป็นสามเณรพร้อมกับหลานชายอีกคนหนึ่งที่เป็นญาติสนิทรุ่นราวคราวเดียวกัน
พระอาจารย์อ้วน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน ได้นำท่านไปฝากฝังถวาย เป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (ที่จริงน่าจะเป็นพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโลมากกว่า เพราะหลวงปู่แหวนเกิด 16 มกราคม 2430 ส่วนพระอาจารย์สิงห์เกิด 27 มกราคม 2432 พระอาจารย์สิงห์อ่อนกว่าหลวงปู่แหวน 2 ปี ) ณ วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่พระอาจารย์อ้วนกำลังพาสามเณรน้อย เดินฝ่าเปลวแดดสีทองมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณวัดในยามบ่ายนั้น พระอาจารย์สิงห์ขนัง ศิษย์สำคัญสูงสุดของพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานคือ พระมั่น ภูริทัตโต กำลังมองที่ร่างสามเณรน้อย พลันก็บังเกิดฤทธิ์อำนาจ แห่งอภิญญาณทำให้ท่านเห็นรัศมีเป็นแสงสว่างโอภาส เปล่งประกายออกมาจากร่างของสามเณรน้อยผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาเกิด ดั้งนั้นพระอาจารย์สิงห์ จึงได้ถ่ายทอดความรู้ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติทั้งหมดให้ ต่อมาหลวงปู่แหวนได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดดอยแม่ปั๋งและมรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2528 สิริอายุ 98 ปี
การออกจาริกแสวงบุญ
- ปี พ.ศ. 2464 ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาธรรมกับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
- ปี พ.ศ. 2478 ได้เข้าพบ ท่านเจ้า คุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากมหานิกายเป็น ธรรมยุติ และได้รับฉายาว่า สุจิณโณ จากนั้นได้ออกจาริกแสวงบุญต่อ ขณะที่ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์มั่นฯ ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ จังหวัดอุบลราชธานี มีศิษย์พระอาจารย์มั่นฯ ที่มีอัธยาศัย ที่ตรงกัน 2 ท่านคือ พระขาว อนาลโย และ พระตื้อ อจลธัมโม เช่นเดียวกับคราวที่ จากท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ก็ได้ พระขาว จาริกแสวงธรรมเป็นเพื่อนจนถึงเมืองหลวงพระบาง
- ปีพ.ศ. 2489 หลวงปู่แหวนจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง ในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นแผลที่ขาอักเสบต้องผ่าตัด โดยมีพระหนู สุจิตโต ซึ่งเดินทางมาจากดอยแม่ปั๋งพยายามอยู่ใกล้ๆ เมื่อครบ 7 วัน ต้องกลับไปดอยแม่ปั๋ง เพราะอยู่ระหว่างพรรษา จนกระทั่งเดือนเมษายนในปีต่อมา อาการอาพาธจึงดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายสนิทยังเดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้ นับแต่นั้นมาพระหนูได้พยายามอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลหลวงปู่แหวน ต่อมาพระหนูได้ดำริว่า ปัจจุบันหลวงปู่แหวนมีอายุมากแล้ว ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ด้วย เพื่อเป็นอุปัฏฐาก ถ้านิมนต์มาอยู่ที่ดอยแม่ปั๋งก็จะได้ถวายการดูแลได้โดยง่ายไม่ต้องไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเป็นเพียงความคิดของพระหนูเท่านั้น เพราะในเวลาดังกล่าว ดอยแม่ปั๋งยังไม่มีอะไรพร้อมแม้แต่กุฏิก็ยังไม่มี
- ปีพ.ศ. 2505 ขณะที่หลวงปู่แหวนมีอายุ 75 ปี คืนวันหนึ่งพระหนูนั่งภาวนาอยู่เกิดเป็นเสียงหลวงปู่แหวนดังขึ้นมาที่หูว่า จะมาอยู่ด้วยคนนะ หลังจากวันที่ได้ยินเสียงหลวงปู่แหวนอีกสามวัน พระอาจารย์หนูได้ถูกนิมนต์ไปที่วัดบ้านปงสถานที่ที่หลวงปู่แหวนอยู่ และถือโอกาสนิมนต์หลวงปู่แหวนมาที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย
เมื่อหลวงปู่แหวนได้มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ครั้งแรกท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง การมาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนี้ ท่านได้มีข้อตกลงกับพระอาจารย์หนูว่า หน้าที่ต่างๆ และกิจทุกอย่างที่มีขึ้นในวัด ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารย์หนูแต่เพียงผู้เดียว ส่วนท่านจะอยู่ในฐานะพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่มีภาระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้นหลวงปู่แหวนจะไม่รับนิมนต์โดยเด็ดขาด แม้ที่สุดถึงจะเกิดอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ท่านไม่ยอมนอนรักษาที่โรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ ตามอริยโคตรอริยวงศ์ ซึ่งบูรพาจารย์ท่านเคยปฏิบัติมาแล้วในกาลก่อน
นับตั้งแต่หลวงปู่แหวนได้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นเลย เพราะอากาศทางภาคเหนือสัปปายะสำหรับท่าน หลวงปู่แหวนได้มรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2528 สิริอายุ 98 ปี
สถานที่ตั้งและการเดินทาง
วัดดอยแม่ปั๋ง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จ.เชียงใหม่
จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนสาย เชียงใหม่-แม่โจ้-อำเภอพร้าว ทางหลวงหมายเลข 1001 หรือง่ายๆ เริ่มจากแยกโรงพยาบาลเทพปัญญาไปอำเภอพร้าวครับ ขับตามถนนไปประมาณ 80 กว่า กิโลเมตร จนถึงหมู่บ้านแม่ปั๋ง ทางด้านขวามือ ติดถนนใหญ่ จะเห็น ซุ้มสีขาวเป็นทางเข้า ข้างบนมีรูปปั้นของหลวงปู่แหวน ถือไม้เท้าอยู่ข้างบน ให้เลี้ยวขวาเข้าไป และขับตรงไปประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงวัดดอยแม่ปั๋ง
ขอบคุณภาพจาก เทศบาลตำบลแม่ปั๋ง